แมะ
เป็นเพียงการตรวจหนึ่งในสี่ของการตรวจวินิจฉัยหลักของทางแพทย์จีนเท่านั้น
การจับชีพจรนั้น มีความละเอียดอ่อนมาก
แพทย์ต้องมีข้อมูลความรู้ที่มาก บวกเข้ากับประสบการณ์
จึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากการแมะนี้ได้อย่างที่สุด
ถามว่าต้องมีประสบการณ์เท่าไหร่ถึงจะสามารถพออาศัยแค่การแมะอย่างเดียวในการตรวจโรคได้
(จริงๆไม่ควรนะครับ)
(จริงๆไม่ควรนะครับ)
ประโยคนี้ผมเคยถามอาจาร์ยที่จีนอยู่เหมือนกัน
คำตอบคือ
"จนคุณหมอมีอายุ 60-70 นั่นแหละครับ"
ชีพจรนั้น เรามีแบ่งประเภทหลักๆ คือ ลอย-จม-ช้า-เร็ว-พร่อง-แกร่ง
รวมแล้วมี 28 ลักษณะใหญ่ ในลักษณะใหญ่ก็จะมีความยิบย่อยอยู่
และในบุคคลหนึ่งๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีลักษณะเดียว
แต่ในเวลาคลินิกผมมักจะพิจารณาการตรวจชีพจรตามลำดับดังนี้
1.พิจารณาตำแหน่ง ลอย: 浮脉,芤脉,革脉,จม:沉脉,伏脉,牢脉
2.พิจารณาอัตราการเต้น ช้า:迟脉,缓脉 เร็ว:数脉,疾脉
3.พิจารณาแรงการเต้น พร่อง虚脉 แกร่ง实脉
4.พิจารณาขนาดใหญ่เล็ก ใหญ่:洪脉,大脉 เล็ก:细脉,微脉
5.พิจารณาความสั้นยาว ยาว长脉 สั้น短脉
6.พิจารณาความคล่องตัว คล่อง:滑脉,动脉 ฝืด:涩脉
7.พิจารณาความตึง ตึง:弦脉,紧脉 อ่อนนิ่ม:濡脉
8.พิจารณาชีพจรเต้นไม่ปกติ 促脉,节脉,代脉
นอกจากนี้ ก็ต้องพิจารณา อายุ เพศ รูปร่างร่วมด้วย
เช่น ในเด็กและผู้สูงอายุ มักจะมีชีพจรที่เร็วกว่าปกติ , ในคนอ้วน
ชีพจรปกติอาจจะลึกกว่าปกติ
เมื่อพิจารณาตามข้างต้นแล้วก็ยังต้องพิจารณาสภาพอากาศ(แต่ในไทยสภาพอากาศเราไม่ได้แตกต่างกันมากนัก)
เช่น ฤดูใบไม้ผลิคู่กับชีพจร紧/弦 ฤดูร้อน洪 ฤดูใบไม้ร่วง浮而细涩 ฤดูหนาว沉 ปลายฤดูร้อน(长夏)缓
นอกจากการจับชีพจรในตำแหน่งโดยรวมแล้ว
1.ยังต้องพิจารณาเฉพาะจุด单指ในแต่ละตำแหน่งอวัยวะ
2.ยังต้องแยกวินิจฉัย ชี่และเลือด
เราจะสังเกตได้ว่า ในชีพจรข้างขวาจะมี肺,脾,命门
ซึ่งเกี่ยวข้องกับชี่ เพราะฉนั้นเราจะใช้ชีพจรข้างขวาในการพิจารณาชี่ด้วย
ส่วนในทางซ้าย มี心,肝,肾ซึ่งเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเลือด
ฉนั้นเราจึงใช้ชีพจรจากทางซ้ายในการพิจารณาในเรื่องของเลือด
ซึ่งเกี่ยวข้องกับชี่ เพราะฉนั้นเราจะใช้ชีพจรข้างขวาในการพิจารณาชี่ด้วย
ส่วนในทางซ้าย มี心,肝,肾ซึ่งเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเลือด
ฉนั้นเราจึงใช้ชีพจรจากทางซ้ายในการพิจารณาในเรื่องของเลือด
3.หากใครต้องการพิจารณา อิน-หยาง 寸เป็นหยาง /
尺เป็นอิน ,浮เป็นหยาง / 沉เป็นอิน เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น