วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หญิง7ชาย8 เมื่อแพทย์จีนมองอย่างแบ่งแยก



หญิง 7 ชาย 8 การเปลี่ยนแปลงของชายหญิง

ในแพทย์จีน จะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในชายและหญิง ด้วยฐานของตัวเลข7ในผู้หญิง(ทุก7ปี) และด้วยฐานเลข8ในผู้ชาย(ทุก8ปี)

โดยการขั้นแรก จะอยู่ในช่วงที่ 1 ถึง 3

-คือผู้หญิงอายุ 7 ถึง 21 ปี (1*7 ถึง 3*7) และผู้ชายอายุ 8 ถึง 24 ปี (1*8 ถึง 3*8)
เป็นช่วงของการเจริญเติบโตของร่างกาย เทียนกุ่ย天癸ค่อยๆสุกงอม
หญิงจะเริ่มมีประจำเดือน ชายจะเริ่มสร้างอสุจิ

ขั้นที่สอง จะอยู่ในช่วงที่ 3 ถึง 5
-คือผู้หญิงอายุ 21 ถึง 35 ปี (3*7 ถึง 5*7) และผู้ชายอายุ 24 ถึง 40 ปี (3*8 ถึง 5*8)
เป็นช่วงที่ร่างกายสมบรูณ์เต็มที่สูงสุดในช่วงชีวิตทั้งหมด

ขั้นที่สาม จะอยู่ในช่วงที่ 5 ถึง 7 ในผู้หญิง และถึง 8 ในผู้ชาย
-คือผู้หญิงอายุ 35 ถึง 49 ปี และผู้ชายอายุ 40 ถึง 64 ปี
เป็นช่วงที่ร่างกายทุกอย่างเสื่อมถอย

เพราะฉนั้น จะเห็นได้ว่า ในขั้นของการเสื่อมถอยนั้น ในผู้หญิงจะเร็วกว่าถึง 15 ปี
คำพูดที่ว่า หญิงแก่เร็วตายช้า ชายแก่ช้าตายเร็ว ถ้าพูดกันตามทฤษฎี เห็นทีจะไม่ถูกต้อง
แต่ในทางความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพราะผู้ชายมักจะใช้ร่ายกาย ประมาทหักโหม และละเลยจากการดูแลตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

กายกับจิต ในทางการแพทย์จีนก็มี และสำคัญด้วยนะเออ



กายกับจิต ในทางการแพทย์แผนจีนก็มีและสำคัญด้วยนะเออ

1.รูปกายเป็นตัวแทนของการมีชีวิต จิตใจคือผู้ขับเคลื่อนของชีวิต

2.รูปกายและจิตใจต้องอาศัยเกื้อกูลกัน และไม่สามารถแยกอยู่อย่างเด็ดขาดจากกัน(แยกจากกันอิสระแล้วคือตาย) รูปกายคือบ้านที่อยู่อาศัยของจิตใจ จิตใจคือเจ้าของบ้านผู้อยู่อาศัย ขาดจิตใจมีแต่รูปกายก็ไร้ชีวิต ขาดรูปกายจิตใจก็ไร้ที่พำนักอาศัย

3.รูปกายและจิตใจส่งผลต่อกัน ร่างกายแข็งแรงทำให้จิตใจปกติ การมีจิตใจที่ดีส่งเสริมให้มีร่างกายที่แข็งแรง

จิง精กำเนิดรูป形 การเสริมสร้างจิง ทำให้จิต神เข้มแข็ง
จิต神ขับเคลื่อนชี่气 การเสริมสร้างชี่ ทำให้รูป形แข็งแรง

บทความนี้ แม้จะคล้ายกับทางพุทธ
แต่ก็ ถอดออกมาจากคำภีร์หวงตี้เน่ยจิง皇帝内经
ซึ่งเป็นตำราของการแพทย์แผนจีนเราที่รวบรวมเป็นบทเป็นตอนเป็นเล่มแรก


วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การจับชีพจร "แมะ" ตอนที่ 1




แมะ

                       เป็นเพียงการตรวจหนึ่งในสี่ของการตรวจวินิจฉัยหลักของทางแพทย์จีนเท่านั้น

                       การจับชีพจรนั้น มีความละเอียดอ่อนมาก

                       แพทย์ต้องมีข้อมูลความรู้ที่มาก บวกเข้ากับประสบการณ์

                       จึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากการแมะนี้ได้อย่างที่สุด

 ถามว่าต้องมีประสบการณ์เท่าไหร่ถึงจะสามารถพออาศัยแค่การแมะอย่างเดียวในการตรวจโรคได้

(จริงๆไม่ควรนะครับ)

                                     ประโยคนี้ผมเคยถามอาจาร์ยที่จีนอยู่เหมือนกัน คำตอบคือ 
     
                                               "จนคุณหมอมีอายุ 60-70 นั่นแหละครับ"


                                ชีพจรนั้น เรามีแบ่งประเภทหลักๆ คือ ลอย-จม-ช้า-เร็ว-พร่อง-แกร่ง

                                รวมแล้วมี 28 ลักษณะใหญ่ ในลักษณะใหญ่ก็จะมีความยิบย่อยอยู่ 

                                        และในบุคคลหนึ่งๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีลักษณะเดียว

                            แต่ในเวลาคลินิกผมมักจะพิจารณาการตรวจชีพจรตามลำดับดังนี้

                    1.พิจารณาตำแหน่ง ลอย: 浮脉,芤脉,革脉,จม:沉脉,伏脉,牢脉

                    2.พิจารณาอัตราการเต้น ช้า:迟脉,缓脉 เร็ว:数脉,疾脉

                    3.พิจารณาแรงการเต้น พร่อง虚脉 แกร่ง实脉

                    4.พิจารณาขนาดใหญ่เล็ก ใหญ่:洪脉,大脉 เล็ก:细脉,微脉

                    5.พิจารณาความสั้นยาว ยาว长脉  สั้น短脉

                    6.พิจารณาความคล่องตัว คล่อง:滑脉,动脉   ฝืด:涩脉

                    7.พิจารณาความตึง  ตึง:弦脉,紧脉  อ่อนนิ่ม:濡脉

                    8.พิจารณาชีพจรเต้นไม่ปกติ 促脉,节脉,代脉


                                          นอกจากนี้ ก็ต้องพิจารณา อายุ เพศ รูปร่างร่วมด้วย

            เช่น ในเด็กและผู้สูงอายุ มักจะมีชีพจรที่เร็วกว่าปกติ , ในคนอ้วน ชีพจรปกติอาจจะลึกกว่าปกติ

   เมื่อพิจารณาตามข้างต้นแล้วก็ยังต้องพิจารณาสภาพอากาศ(แต่ในไทยสภาพอากาศเราไม่ได้แตกต่างกันมากนัก)

      เช่น ฤดูใบไม้ผลิคู่กับชีพจร/ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง浮而细涩 ฤดูหนาว ปลายฤดูร้อน(长夏)


                               นอกจากการจับชีพจรในตำแหน่งโดยรวมแล้ว

                   1.ยังต้องพิจารณาเฉพาะจุด单指ในแต่ละตำแหน่งอวัยวะ

                   2.ยังต้องแยกวินิจฉัย ชี่และเลือด เราจะสังเกตได้ว่า ในชีพจรข้างขวาจะมี肺,脾,命门

                       ซึ่งเกี่ยวข้องกับชี่ เพราะฉนั้นเราจะใช้ชีพจรข้างขวาในการพิจารณาชี่ด้วย

                       ส่วนในทางซ้าย มี心,肝,肾ซึ่งเป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับเลือด 

                      ฉนั้นเราจึงใช้ชีพจรจากทางซ้ายในการพิจารณาในเรื่องของเลือด

                 3.หากใครต้องการพิจารณา อิน-หยาง เป็นหยาง / เป็นอิน ,浮เป็นหยาง / เป็นอิน เป็นต้น

  




วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เสียชี่ทั้ง6 สาเหตุการเจ็บป่วยที่เกิดจากภายนอก บทที่1"ลม"



ลม

1. ลมเย็น
อาการ: กลัวหนาว, มีไข้, ปวดศรีษะ, ปวดตามเนื้อตัว, มีน้ำมูกสีใส, ไอ, เสมหะบาง, ลิ้นขาว-ชุ่ม,
           ชีพจรลอยรีบ(浮紧)
กลไก: ลมเย็นกระทบภายนอก,เว่ยของปอดติดขัด
การรักษา: ขับไล่ลมขจัดความเย็น
ตำรับยา:荆防达表汤
อธิบายตำรับ: ตำรับยานี้ มีสรรพคุณในการไล่ลมขจัดความเย็นในระดับภายนอก ใช้สำหรับลมเย็นกระทบภายนอก เว่ยชี่ของปอดเสียสมดุล ในตำรับใช้ 荆芥,防风,羌活,苏叶,白芷,豆豉,葱白 ขจัดขับไล่ลมเย็น ขับเหงื่อระบายภายนอก ; หากมีสัญญานของความเย็นมีค่อนข้างมาก สามารถเพิ่ม 麻黄,桂枝 ซึ่งมีฤทธิ์ เผ็ด-อุ่น ช่วยในการขับเหงื่อ ; หากมีอาการไอ เพิ่ม 杏仁,桔梗 ระบายชี่ปอด

2. ลมร้อน
อาการ: มีไข้, กลัวลมเย็นเล็กน้อย, เหงื่อออกน้อยหรือไม่มีเหงื่อ, ปวดศรีษะ, ไอ, เสมหะเหนียวหรือมีสีเหลือง, น้ำมูกข้น, เจ็บคอ, กระหายน้ำ, ฝ้าลิ้นบาง ขอบลิ้นสองข้างแดง, ชีพจรลอยเร็ว(浮数)
กลไก: ลมร้อนกระทบภายนอก ทำให้ปอดระบายลงล่างไม่ได้
การรักษา: ขับไล่ลมดับร้อน
ตำรับยา: 桑菊饮
อธิบายตำรับ: ตำรับยานี้มีฤทธิ์ เผ็ด-เย็น ระบายภายนอก ขจัดลมดับร้อน ใช้กับลมร้อนกระทบเว่ยปอด ทำให้เว่ยภายนอกไม่สมดุล ตัวยาที่ใช้ 桑叶,菊花,薄荷 ไล่ลมดับร้อน 杏仁,桔梗 ระบายปอดระงับไอ 连翘 ดับร้อนขับภายนอกอ่อน 葛根 ระบายภายนอกดับร้อน หากมีสัญญานของลมร้อนมาก ให้เปลี่ยนใช้ 银翘散 ตำรับใช้ 银花,连翘 ไล่ลมดับร้อน 豆豉,荆芥 เผ็ดทะลวงขจัดภายนอก 牛蒡子,桔梗,甘草 ขับลำคอ 芦根,竹叶ให้สารน้ำดับร้อน

3. ลมรุกเข้าเส้นลมปราณ
อาการ: ปวดตามข้อเวลาเคลื่อนไหว หรือมีอาการข้อขัด, หลังคอแข็ง, ปากตาเบี้ยว, แขนขาหดเกรง, ชักตัวงอเหมือนคันศร, กัดฟันกรามค้าง, ฝ้าขาวบาง, ชีพจรรีบตึง(浮弦)
กลไก: ลมรุกเข้าเส้นลมปราณเกิดการติดขัด
การรักษา: ขับไล่ลมทะลวงลมปราณ
ตำรับ: 防风汤,牵正散,玉真散。
อธิบายตำรับ: ทั้งสามตำรับนี้ล้วนแต่มีสรรพคุรในการขับไล่ลม แต่防风汤ขับลมทะลวงลมปราณระบายปวด ใช้กับกลุ่มอาการปวดที่มีสัญญานของลมมาก 牵正散ขับลมสลายเสมหะทะลวงลมปราณ ใช้สำหรับลมและเสมหะเข้าเส้นลมปราณทำให้เกิดอัมพฤกษ์ใบหน้าและอัมพฤกษ์ 玉真散 ขจัดลมชักสลายเสมหะคลายกล้ามเนื้อกระตุกเกรง ใช้กับบาทยักมีอาการกัดฟัน ชัก ตัวงอแอ่น เป็นต้น ยาที่ใช้ 羌活,防风,白芷 ขับลมไล่เสียชี่ 僵蚕,全蝎,白附子 ระงับลมสลายเสมหะทะลวงลมปราณ หากกล้ามเนื้อลีบ มือเท้าชา ให้เพิ่ม 当归,白芍 เป็นต้น หล่อเลี้ยงเลือดขับไล่ลม

จุดฝังเข็ม 公孙กงซุนของหมอจีน ไม่ใช่กงซุนเช่อของท่านเปา



公孙 จุดกงซุน

เป็นจุดบนเส้นลมปราณม้าม ทั้งยังเป็นจุด八脉交会กับเส้นลมปราณชง และยังเป็นจุดลั่วที่เชื่อมต่อกับเส้นลมปราณตับในอดีตมีการใช้คำเรียกแทนตับ(木)ว่า公 และเรียกม้าม(土)ว่า孙จึงเป็นที่มาของชื่อ กงซุน

จุดกงซุนนี้ มีสรรรพคุณคือ เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับม้ามสลายชื้น ทั้งยังปรับสมดุลของกระเพาะอีกด้วย

จากในคัมภีร์
      "เจินจิวเจี่ยอี้จิง" ได้กล่าวไว้ว่า : คิดมาก(ม้ามพร่อง),ไม่อยากอาหาร(อันนี้ชัดเลย), เหงื่อออกมาก(จากทั้งสามอาการขั้นต้นบ่งบอกได้ว่าจุดนี้ใช้สำหรับเสริมชีของม้ามได้) ,ในรายที่เป็นมาก จะมีอาการอาเจียน อาเจียนหมดแล้วหมดแรง  (แสดงว่านอกจากเสริมชี่ม้ามได้แล้ว ยังสามารถปรับสมดุลชี่ที่กระเพาะได้อีกด้วย)
      ทั้งนี้ก็ยังมีพบในคัมภีร์ "เจินจิวต้าเฉิง"ในลักษณะเดียวกันด้วย

    การใช้จุดร่วม

1.ใช้ร่วมกับจุด内关เน่ยกวน
    เน่ยกวนมีฤทธิ์ในการสงบประสาทสงบหัวใจ ทั้งยังผ่อนคลายตับ ปรับสมดุลกระเพาะ และระงับปวด เมื่อร่วมกับการเสริมและปรับสมดุลชี่ของจุดกงซุนแล้ว สามารถใช้ในการรักษา โรคบริเวณหัวใจ ทรวงอกและกระเพาะได้

2.ใช้ร่วมกับจุด梁门เหลียงเหมิน และ 足三里 จู๋ซานหลี่
    เหลียงเหมินมีฤทธิ์ปรับสมดุลกระเพาะ ดึงชี่ที่ตีย้อนขึ้นให้กลับลงล่าง ทั้งยังช่วยย่อยอาหารที่ตกค้างเป็นก้อนอุดตันอยู่ด้วย ส่วนจู๋ซานหลี่ มีฤทธิ์ในการปรับสมดุลกระเพาะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับม้าม ทะลวงอวัยวะกลวงสลายก้อนเสมหะ ทั้งยังควบคุมกลไกการไหลเวียนของชี่ให้ขึ้นลงตามปกติอีกด้วย เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน สามารถใช้ในการรักษาอาการปวดท้อง เรอเปรี้ยว อาเจียนเหม็นเปรี้ยว (จาก อาหารไม่ย่อย อาหารอุดตัน เกิด痰ในกระเพาะ เนื่องจากม้ามพร่อง)

3.ใช้ร่วมกับจุด束骨ซู่กู่ และ八风ปาฟง
    ซู่กู่มีฤทธิ์ขับไล่ลมดับร้อน สงบจิตใจทะลวงเส้นลมปราณ ส่วนปาฟงเป็นจุดพิเศษ มีฤทธ์ลดบวมดับพิษร้อน เมื่อใช้ร่วมกัน จะสามารถรักษาอาการชาปวดบริเวณปลายเท้าได้ (เสริมเจิ้งชี่ ขับไล่เสียชี่ ปรับกลไกชี่ ลดการอักเสบ และทะลวงเส้นลมปราณ )

ในปัจจุบัน มีงานวิจัยออกมามากมายเกี่ยวกับการใช้จุดกงซุน ได้แก่

1.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวนรักษาโรคความดันโลหิตต่ำ
2.ใช้กงซุนรักษาอาการปวดโคนลิ้น
3.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวนรักษาโรคสะอึก
4.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวนในการรักษาอาการปวดท้องเฉียบพลัน
5.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวน จู๋ซานหลี่ ซ้างจวี้ซวี ในการรักษาโรคกระเพาะพิการหลังการผ่าตัด
6.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวน จู๋ซานหลี่ รักษาอาการอาเจียนเนื่องมาจากประสาทแปรปรวน
7.ใช้กงซุนร่วมกับเน่ยกวนในการรักษาภาวะปวดประจำเดือน

เป็นต้น

แถมๆ

จุดกงซุน ยังเป็นจุดร่วมกับจุดของศาสตร์ฝังเข็มแบบ"ถง"หรือ"ต่ง"
ในถง จะเรียกจุดกงซุนว่าจุด火菊หัวะจวี๋
ใช้บ่อยในการรักษา
1.มือนิ้วชาจากผังผืดเบียดรัดเส้นประสาท
2.ปวดศรีษะด้านหน้า(เส้นลมปราณกระเพาะ)
3.ความดันโลหิตสูง(ไฟขึ้นบน)
4.ตาพร่ามัว ปวดตา(ไฟขึ้นบนตาใช้菊花 คำว่าจวี๋คือสรรพคุณของจุดนี้ พูดง่ายๆคือสรรพคุณของจุดนี้เหมือนดอกเก็กฮวย เป็นที่มาชื่อของจุด)

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ยาจีน 三七 ซานชี หรือชื่อที่คนไทยเราคุ้นหูกันในนาม "ฉั่งฉิก"


                                                             三七 ซานชี

.          ชื่อยา 三-สาม และ七 -เจ็ด นี้มาจากอายุของการเพาะปลูก ซึ่งจะสามารถเกี่ยวเมื่ออายุ 3-7ปี

           ยาตัวนี้มีชื่อเรียกหลากหลายชื่อ แต่ที่ฮิตติดหูคงจะหนีไม่พ้น 田七เถียนชี หรือฉั่งฉิกในภาษาแต้จิ๋วนั่นเอง
       
           三七เป็นส่วนใต้ดินของต้นซานชี ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panax notoginseng (Burk) F.H.Chen

           การเก็บเกี่ยวจะเก็บในช่วงปลายร้อนต้นหนาว ก่อนที่จะออกดอก นำมาแยกรากแล้วตากแห้ง
เวลาจะนำมาใช้ให้บดเสียก่อน.  โดยยาซานชีนี้ จะมีการแบ่งเกรดออกเป็นตามน้ำหนักต่อ1กิโลกรัม เช่นเกรด40หัว เกรด100หัว ถึงเกรด400หัว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังแบ่งเกรดตามลักษณะภายนอกอีกด้วย โดยรวมแล้ว ยาตัวนี้จะมีการแบ่งเกรดออกมา มากถึง13เกรดด้วยกัน

            นอกจากนี้ ยังมีซานชีชนิดอื่นอีก คือ 菊叶三七และ景天三七 ซึ่งเป็นพืชคนละชนิดกัน ซึ่งจะมีสรรพคุณที่เหมือนกันคือ หยุดเลือดสลายคั่ง แต่สรรพคุณรอง และรส ที่ต่างกันออกไป จะขอเอาทั้งสองตัวนี้เขียนไว้ที่ใต้สุดของบทความ
             เอาละมาต่อที่พระเอกของเราในบทความนี้

                                                                         三七 ซานชี

                                                               มีรสหวานอมขม ฤทธิ์อุ่น

.                                                       วิ่งเข้าเส้นลมปราณ ตับ และ กระเพาะ

                      มีสรรพคุณคือ
                                                หยุดเลือดสลายการคั่ง     ลดบวมระงับปวด

                      ใช้ในการรักษาคือ

       1.ไอเป็นเลือด อาเจียรเป็นเลือด : ซานชีหวานอมขมฤทธิ์อุ่น วิ่งเข้าในระดับเลือด(血分) สรรพคุณเด่นในด้านหยุดเลือด ทั้งยังสลายและป้องกันการคั่ง จึงเป็นยาที่มีชื่อเสียงมากในทางระงับเลือดโดยไม่ทำให้เกิดมีการคั่งหลงเหลือเอาไว้ จึงเหมาะที่จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่เลือดออกไม่ว่าจะภายนอกหรืออวัยวะภายใน ไม่ว่าจะมีการคั่งหรือไม่ สามารถใช้ได้หมด แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคั่งอยู่ คงไม่มีตัวไหนเหมาะสมไปกว่าจะใช้ซานชีตัวนี้อีกแล้ว

        2. บิดถ่ายเป็นเลือด ตกเลือด เลือดออกขณะตั้งครรภ์ : สรรพคุณในการหยุดเลือดของซานชี ใช้ได้ดีโดยเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย(ล่างสะดือลงมา) สามารถใช้เดี่ยว คือบดผงผสมน้ำซาวข้าว หรือผสมสาโท หรือในรายที่เสียเลือดมากก็ใช้ร่วมกับยากลุ่มบำรุงเลือดเข้าไป เช่นตำรับ 四物汤

        3. เลือดออกจากบาดแผลภายนอก : สามารถใช้ยาเดี่ยวบดเป็นผงพอกหรือจะเข้าตำรับพวกสลายคั่งหยุดเลือดหรือกลุ่มไหลเวียนเลือดระงับปวดก็ได้

        4. หกล้มฟกช้ำ บวมเขียว : สามารถใช้ยาเดี่ยวบดผงชงกับเหล้าเหลือง หรือจะเข้าตำรับก็ได้

        5. ฝีหนอง : ด้วยซานชีมีสรรพคุณในการสลายการคั่งลดปวด ทำให้เลือดไหลเวียนยุบบวม ทำให้เหมาะแก่การรักษาฝีหนองทุกระยะ เช่น ในระยะแรก จะช่วยทำให้ยุบสลายไป ในระยะท้ายจะช่วยในการยุบฝีและเสริมสร้างเนื้อเยื้อใหม่

        6. เจ็บท้องเจ็บหน้าอก : ซานชีมีฤทธิ์สลายการคั่งระงับปวด ไม่เพียงแต่จะรักษาการคั่งจากการตกกระทบกระแทกได้ดีแล้ว ยังสามารถรักษาอาการปวดบริเวณท้องและทรวงอกได้ด้วย ในปัจจุบัน ได้มีการนำซานชีมาใช้ในการรักษา เส้นเลือดหัวใจอุดตัน ตับอักเสบจากลิ่มเลือดอุดตัน
สมองขาดเลือด และหลอดเลือดในสมองแตก

      ปริมาณการใช้ซานชี
ต้ม.       3 - 10 กรัม แบ่งทานเช้าเย็น
ปั้นลูกกลอน-ยาผง-ชงดื่ม.   1 - 1.5 กรัม ทานวันละ 1 - 3 ครั้ง หากเป็นหนักให้ใช้ 3 - 6 กรัม
ใช้ภายนอกตามความเหมาะสม
 
     ข้อควรระวัง

1: ไม่ว่าจะส่วนไหนของซานชีที่เป็นส่วนใต้ดินใช้ได้หมด อย่าทิ้ง!!!!! เพียงแต่ฤทธิ์จะไม่ีดีเท่าส่วนรากแก้วอูมๆแค่นั้นเอง

2: ในยุคหลังๆมา แพทย์มักจะนิยามคำว่าซานชีว่า หยุดเลือดสลายคั่ง เพราะฉนั้นยังมียาตัวไหนที่มีสรรพคุณตัวนี้ ก็จะจับใส่คำว่าซานชีลงไปใช้เรียนชื่อยาตัวนั้นด้วยเช่นกัน โดยเป็นยาคนละชนิดกัน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่ายาตัวนั้นๆคือซานชีพระเอกของเราในบทความนี้
    เช่น 菊叶三七  เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์ทานตะวัน(Asteraceae) และ
           景天三七 เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์กุหลาบหิน(Crassulaceae).
    ส่วนพระเอกของเราน้านนนนจะอยู่ในวงศ์เล็บครุฑ(Araliceae)

ส่วนสุดท้ายที่ติดเอาไว้แต่ตอนต้นนะครับ

1. 菊叶三七 จวี๋เย่ซานชี มีชื่อหล่อๆว่า Gynura segetum (Lour.) Merr. โดยยาตัวนี้จะใช้ทั้งต้น รสหวานอมขม ฤทธิ์กลาง สรรพคุณ หยุดเลือดสลายคั่ง ลดบวมต้านอักเสบ ปริมาณใช้เหมือนซานชี
2. 景天三七 จิ่งเทียนซานชี มีชื่อเท่ๆว่า Sedum aizoon L. ใช้ทั้งต้นเช่นกัน มีรสหวานอมเปรี้ยว ฤทธิ์กลาง มีสรรพคุณคือ หยุดเลือดสลายคั่ง บำรุงเลือดสงบจิตประสาท ปริมาณใช้ ทั้งต้น 15-30 กรัม ถ้าใช้เฉพาะราก 6-10 กรัม